การเดินขบวนของ LGBT ในเกาสง: 10 ปีแห่งการเดินขบวนของ LGBT คุณสบายดีไหม?
Hi! เพื่อนชาว LGBT ทุกท่าน วันนี้คุณเป็นยังไงบ้าง?
ยังจำครั้งแรกที่คุณเข้ามาร่วมเดินขบวนของชาว LGBT ในเกาสงได้ไหมว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไร?
ในการเดินขบวนครั้งแรกที่เราร้องบอกต่อหน้า เฉิน จวี๋ ผู้ว่าราชการนครเกาสงว่า: หลังจาก “การรักกันเป็นสิทธิมนุษยชน” ก็เริ่มมีการผลักดันนโยบาย การบันทึกหมายเหตุคู่สมรสเพศเดียวกัน
ห้องสุขาที่เป็นมิตรกับกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ความเสมอภาคทางเพศในการร่วมประชาพิจารณ์ทางการศึกษาเป็นต้นอย่างต่อเนื่อง ในการเดินขบวนเรียกร้องสิทธิของชาว LGBT อย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา พวกเราได้เห็นกันแล้วว่าเมืองเกาสงกำลังพยายามที่จะเป็นนครแห่งสิทธิมนุษยชน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลุ่มต่อต้าน LGBT ได้เผยแพร่ข้อมูลผิดๆ
จำนวนมากโดยผ่านอาสาสมัครตามท้องถนนและ LINE กลุ่มเป็นต้นที่ทำให้ผู้คนตื่นกลัว ถึงอย่างนั้น เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมปีนี้ (วันสากลยุติความเกลียดกลัว คนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ และคนรักสองเพศ (International Day Against Homophobia, Transphobia and Biphobia : IDAHOTB)) สภานิติบัญญัติไต้หวันผ่าน “ระเบียบการตีความกฎหมาย ฉบับที่ 748 ของสภาตุลาการ”
คู่สมรสที่เป็นเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสและได้รับสิทธิตามกฏหมาย เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ผ่านกฎหมายการแต่งงานเพศเดียวกัน
หลังจากได้รับความเสมอภาคในการแต่งงานที่เป็นการบรรลุเป้าหมายตามขั้นตอนแล้ว เรามักจะได้ยินคำถามเหล่านี้:
“กฎหมายการแต่งงานเพศเดียวกันก็ผ่านแล้ว แล้วทำไมยังต้องเดินขบวนกันอีก?”
ด้านกฎหมายถือว่าเรานั้นบรรลุเป้าหมายแล้ว แต่การเคลื่อนไหวของชาว LGBT นั้นจบสิ้นเพียงแค่นี้หรือ?”
ไม่เลย แม้ว่าความสัมพันธ์แบบคนรักจะได้รับความเสมอภาคทางกฎหมายขึ้นมาบ้างบางส่วน แต่ประชาชนในสังคมก็มักจะสวมใส่แว่นตาสีต่างๆ ใช้ค่านิยมส่วนใหญ่มาตัดสินกลุ่มคนที่ร่วมเดินขบวน เมื่อก่อนอ่านจะเป็นการเดินขบวนโดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องความเสมอภาคในการแต่งงาน ก็พอที่จะเก็บสโลแกนที่เต็มไปด้วยคำแรงๆ ที่ทิ่มแทงใจ ลบเครื่องสำอางที่แต่งไว้อย่างพิเศษ สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต่างกัน ลบล้างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเพศออกไปได้บ้าง
การเดินขบวนของชาว LGBT เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองเรื่องเพศ*1มาโดยตลอด การโชว์เรือนร่างยังเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของการเดินขบวนของชาว LGBT พวกเราหวังที่จะร่างกายที่มีเลือดเนื้อความรู้สึก ร่างกายที่มีความบกพร่อง ร่างกายที่เจ็บป่วย ร่างกายที่ไม่อยากถูกตีกรอบด้วยเพศสภาพ*2 สามารถแสดงออกในความเป็นตัวเองได้อย่างเป็นอิสระเมื่อมาร่วมเดินขบวน ให้สังคมได้เข้าใจว่า รูปลักษณ์ของร่างกายเรานั้นขึ้นอยู่กับความปรารถนา ไม่ใช่ถูกจำกัดอยู่แค่ “การมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ*3” เท่านั้น
เพียงแต่ว่า เมื่อแสงแฟลชภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้าของเกิดการเดินขบวนในทุกๆ ปี สาดส่องมาบนเนื้อตัวเย็นสบายที่เต็มไปด้วยความแข็งแรงและความภาคภูมิใจ แล้วยังสามารถมองเห็นความแตกต่างที่มีอยู่ในหมู่คนกลุ่มน้อยทางเพศ*4หรือไม่? แล้วยังสามารถเข้าใจถึงความยุ่งยากลำบากที่เรือนร่างที่ผิดต่างไปนี้นำมาให้หรือไม่?
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ที่คิดกันว่าเป็นมีสิทธิเท่าเทียมกัน การกดข่มและแบ่งแยกที่มีต่อเพศและเรือนร่างที่มีความหลากหลาย ทำให้พวกเราอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าเพื่อนพ้องที่เคยร่วมเดินขบวนด้วยกัน จะยังคงสนับสนุนความใฝ่ฝันที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ-ที่ต้องการสร้างสังคมไม่ต้องหวาดวิตกกับเพศและเรือนร่างที่หลากหลายนี้อีกต่อไปอีกหรือไม่
ในการเดินขบวนครั้งแรกที่เราร้องบอกต่อหน้า เฉิน จวี๋ ผู้ว่าราชการนครเกาสงว่า: หลังจาก “การรักกันเป็นสิทธิมนุษยชน” ก็เริ่มมีการผลักดันนโยบาย การบันทึกหมายเหตุคู่สมรสเพศเดียวกัน
ห้องสุขาที่เป็นมิตรกับกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ความเสมอภาคทางเพศในการร่วมประชาพิจารณ์ทางการศึกษาเป็นต้นอย่างต่อเนื่อง ในการเดินขบวนเรียกร้องสิทธิของชาว LGBT อย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา พวกเราได้เห็นกันแล้วว่าเมืองเกาสงกำลังพยายามที่จะเป็นนครแห่งสิทธิมนุษยชน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลุ่มต่อต้าน LGBT ได้เผยแพร่ข้อมูลผิดๆ
จำนวนมากโดยผ่านอาสาสมัครตามท้องถนนและ LINE กลุ่มเป็นต้นที่ทำให้ผู้คนตื่นกลัว ถึงอย่างนั้น เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมปีนี้ (วันสากลยุติความเกลียดกลัว คนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ และคนรักสองเพศ (International Day Against Homophobia, Transphobia and Biphobia : IDAHOTB)) สภานิติบัญญัติไต้หวันผ่าน “ระเบียบการตีความกฎหมาย ฉบับที่ 748 ของสภาตุลาการ”
คู่สมรสที่เป็นเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสและได้รับสิทธิตามกฏหมาย เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ผ่านกฎหมายการแต่งงานเพศเดียวกัน
หลังจากได้รับความเสมอภาคในการแต่งงานที่เป็นการบรรลุเป้าหมายตามขั้นตอนแล้ว เรามักจะได้ยินคำถามเหล่านี้:
“กฎหมายการแต่งงานเพศเดียวกันก็ผ่านแล้ว แล้วทำไมยังต้องเดินขบวนกันอีก?”
ด้านกฎหมายถือว่าเรานั้นบรรลุเป้าหมายแล้ว แต่การเคลื่อนไหวของชาว LGBT นั้นจบสิ้นเพียงแค่นี้หรือ?”
ไม่เลย แม้ว่าความสัมพันธ์แบบคนรักจะได้รับความเสมอภาคทางกฎหมายขึ้นมาบ้างบางส่วน แต่ประชาชนในสังคมก็มักจะสวมใส่แว่นตาสีต่างๆ ใช้ค่านิยมส่วนใหญ่มาตัดสินกลุ่มคนที่ร่วมเดินขบวน เมื่อก่อนอ่านจะเป็นการเดินขบวนโดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องความเสมอภาคในการแต่งงาน ก็พอที่จะเก็บสโลแกนที่เต็มไปด้วยคำแรงๆ ที่ทิ่มแทงใจ ลบเครื่องสำอางที่แต่งไว้อย่างพิเศษ สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต่างกัน ลบล้างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเพศออกไปได้บ้าง
การเดินขบวนของชาว LGBT เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองเรื่องเพศ*1มาโดยตลอด การโชว์เรือนร่างยังเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของการเดินขบวนของชาว LGBT พวกเราหวังที่จะร่างกายที่มีเลือดเนื้อความรู้สึก ร่างกายที่มีความบกพร่อง ร่างกายที่เจ็บป่วย ร่างกายที่ไม่อยากถูกตีกรอบด้วยเพศสภาพ*2 สามารถแสดงออกในความเป็นตัวเองได้อย่างเป็นอิสระเมื่อมาร่วมเดินขบวน ให้สังคมได้เข้าใจว่า รูปลักษณ์ของร่างกายเรานั้นขึ้นอยู่กับความปรารถนา ไม่ใช่ถูกจำกัดอยู่แค่ “การมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ*3” เท่านั้น
เพียงแต่ว่า เมื่อแสงแฟลชภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้าของเกิดการเดินขบวนในทุกๆ ปี สาดส่องมาบนเนื้อตัวเย็นสบายที่เต็มไปด้วยความแข็งแรงและความภาคภูมิใจ แล้วยังสามารถมองเห็นความแตกต่างที่มีอยู่ในหมู่คนกลุ่มน้อยทางเพศ*4หรือไม่? แล้วยังสามารถเข้าใจถึงความยุ่งยากลำบากที่เรือนร่างที่ผิดต่างไปนี้นำมาให้หรือไม่?
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ที่คิดกันว่าเป็นมีสิทธิเท่าเทียมกัน การกดข่มและแบ่งแยกที่มีต่อเพศและเรือนร่างที่มีความหลากหลาย ทำให้พวกเราอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าเพื่อนพ้องที่เคยร่วมเดินขบวนด้วยกัน จะยังคงสนับสนุนความใฝ่ฝันที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ-ที่ต้องการสร้างสังคมไม่ต้องหวาดวิตกกับเพศและเรือนร่างที่หลากหลายนี้อีกต่อไปอีกหรือไม่
ความเสมอภาคในการแต่งงานเป็นเพียงเครื่องหมาย comma(,) ไม่ใช่เครื่องหมาย full stop(.) แล้วตอนนี้คุณยังยินยอมที่เข้าร่วมบนขบวนรถแห่งความเสมอภาคนี้หรือไม่?
ในอดีต การเดินขบวนของชาว LGBT ในเมืองเกาสงเป็นการเดินขบวนของชาว LGBT ที่ใหญ่ที่สุดในเขตภาคใต้ของไต้หวัน รวบรวมพลังของพี่น้องทั้งหลาย เพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ อยู่เคียงข้างกับเพื่อนคนกลุ่มน้อยทางเพศที่ต้องดิ้นรนในการดำรงชีวิตทุกๆ คน เวลานี้ การดูแคลนที่มีต่อกลุ่มคนที่แตกต่าง การใส่ร้ายป้ายสีที่มีต่อคนกลุ่มน้อยทางเพศ ที่ยังคงต้องรอทุกฝ่ายหันหน้าเจรจาตกลงกันต่อไป นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเรายังต้องออกมาเดินขบวนกันอีก
พวกเราคิดว่า: การเดินขบวนไม่ใช่เพียงเพื่อให้สังคมได้เห็นถึงการมีตัวตนอยู่ของชาว LGBT แต่ยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนคตินิยม*5ที่แตกต่างที่มีต่อชาว LGBT และได้สัมผัสกับกลุ่มคนที่แตกต่างเหล่านี้พร้อมทำให้เกิดการพูดคุยกัน ประชาชนในสังคมจำเป็นต้องทำความรู้จักซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันก็ยิ่งต้องปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ มีเพียงการพูดคุยกันเท่านั้นที่จะสามารถค้นหาอุดมการณ์แรกเริ่มที่เราออกมาเดินขบวนกัน ถึงจะทำให้ที่ว่างเพียงพอให้ทุกคนได้ยืนอยู่ร่วมกันบนขบวนรถแห่งความเสมอภาคนี้
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา คุณที่ได้เข้าร่วมเดินขบวนเรียกร้องสิทธิของชาว LGBT ในเมืองเกาสง ปัจจุบันคุณเป็นอย่างไงบ้าง?
ยังจำได้หรือไม่ว่าในตอนนั้นทำไมคุณถึงเข้าร่วมเดินขบวน?
ในปีนั้นไม่ว่าคุณจะเข้าร่วมเดินขบวนเรียกร้องสิทธิของชาว LGBT ในเกาสง ด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ในปีนี้ ด้วยหัวข้อทางเพศที่แตกต่างกัน - ขอให้ร่วมกันเป็นกระบอกเสียง เรียกร้องเจรจาต่อไป ร่วมกันเดินขบวน เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้ากับพวกเรา
พวกเราคิดว่า: การเดินขบวนไม่ใช่เพียงเพื่อให้สังคมได้เห็นถึงการมีตัวตนอยู่ของชาว LGBT แต่ยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนคตินิยม*5ที่แตกต่างที่มีต่อชาว LGBT และได้สัมผัสกับกลุ่มคนที่แตกต่างเหล่านี้พร้อมทำให้เกิดการพูดคุยกัน ประชาชนในสังคมจำเป็นต้องทำความรู้จักซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันก็ยิ่งต้องปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ มีเพียงการพูดคุยกันเท่านั้นที่จะสามารถค้นหาอุดมการณ์แรกเริ่มที่เราออกมาเดินขบวนกัน ถึงจะทำให้ที่ว่างเพียงพอให้ทุกคนได้ยืนอยู่ร่วมกันบนขบวนรถแห่งความเสมอภาคนี้
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา คุณที่ได้เข้าร่วมเดินขบวนเรียกร้องสิทธิของชาว LGBT ในเมืองเกาสง ปัจจุบันคุณเป็นอย่างไงบ้าง?
ยังจำได้หรือไม่ว่าในตอนนั้นทำไมคุณถึงเข้าร่วมเดินขบวน?
ในปีนั้นไม่ว่าคุณจะเข้าร่วมเดินขบวนเรียกร้องสิทธิของชาว LGBT ในเกาสง ด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ในปีนี้ ด้วยหัวข้อทางเพศที่แตกต่างกัน - ขอให้ร่วมกันเป็นกระบอกเสียง เรียกร้องเจรจาต่อไป ร่วมกันเดินขบวน เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้ากับพวกเรา